ธุรกิจองค์กรเสมือน
วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2557
เรียงความเรื่อง "แนวโน้มเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต"
การสื่อสารในปัจจุบันได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทในการติดต่อสื่อสารมากขึ้น ทั้งในด้านธุรกิจ สังคม โดยใช้ระบบสื่อสารโทรคมนาคม เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) คือ การใช้เครือข่ายสังคมในการค้าขาย ซึงเป็นส่วนหนึ่งของระบบพาณิชย์อิล็กทรอนิกส์เป็นการนำโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คและสื่อออนไลน์แบบต่าง ๆ มาช่วยในการสร้างการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ และอินเตอร์เน็ตเป็นตัวกลางการสื่อสารที่สำคัญ ซึ่งช่วยให้ผู้ติดต่อสื่อสารทำการติดต่อสื่อสารได้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น แต่เทคโนโลยีในปัจจุบันมีแนวโน้มที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองคววามต้องการของมนุษย์ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกกับมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับแนวโน้มเทคโนโลยีการสื่อสารในอนาคตอาจเป็นไปได้ว่าจากการที่เราสื่อสารกันได้ด้วยเสียงก็ถูกพัฒนามาเป็นวิดีโอคอลในปัจจุบัน ในอนาคตอาจติดต่อสื่อสารกันได้ด้วยภาพ 3 มิติ โดยใช้ความคิดแทนคำพูด สามารถพูดคุยกันได้เหมือนอยู่ในสถานที่จริง สามารถเลือกสถานที่ได้ รับความรู้สึกหรืออุณหภูมิร่วมกันได้ สามารถรับรู้กลิ่นจากสถานที่ต่าง ๆ โดยที่เราไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย และในอนาคตจะสั่งการด้วยสมอง โดยใช้คลื่นสมองเป็นตัวควบคุมการสั่งการ แล้วมีการแปลงคลื่นสมองให้เป็นภาษาที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ และอุปกรณ์ที่ใช้ก็จะทำให้มีขนาดเล็กลง เพื่อความสะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น
ด้วยความต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกสบายที่ไม่สิ้นสุดของมนุษย์ รวมถึงสังคมเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน ทำให้ต้องมีการพัฒนาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหรือเทคโนโลยีสารสนเทศการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพและก้าวล้ำทันสมัย และตอบสนองความต้องการของมนุษย์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดและวิวัฒนาการติดต่อสื่่อสารจะถูกยกระดับมากยิ่งขึ้น
วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ปราสาทหินพิมาย
เป็นปราสาทหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
มีรูปแบบศิลปกรรมขอมแบบบาปวนและนครวัดที่มีความงดงาม
เชื่อว่าเป็นต้นแบบในการสร้างนครวัดในเขมรปราสาทหินแห่งนี้ตั้งอยู่กลางเมืองพิมายซึ่งเป็นเมืองโบราณที่สำคัญของภูมิภาค
มีเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงกับเมืองสำคัญทางตอนเหนือของลาวและทางตอนใต้ของขอม
เมื่อชมปราสาทหินพิมายแล้วควรแวะชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย
ซึ่งจัดเก็บโบราณวัตถุที่สำคัญจากปราสาทแห่งนี้ไว้
พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่บริเวณใกล้กัน
ประวัติ
สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธสถานในลัทธิมหายาน
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในยุคที่อาณาจักรขอมแผ่อิทธิพลมายังภูมิภาคนี้ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่
7 (พ.ศ.1724-1761) มหาราชองค์สุดท้ายของอาณาจักรขอมใน พ.ศ. 2479
กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติและเริ่มบูรณะในปี พ.ศ.2494และ
พ.ศ.2497กรมศิลปากรได้บูรณะองค์ปรางประธานอีกครั้ง
โดยได้รับเงินงบประมาณจากรัฐบาลฝรั่งเศส จนแล้วเสร็จในช่วงปี พ.ศ.2507-2512
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 ได้กำหนดให้
เมืองโบราณพิมายและปราสาทหินพิมายเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ ในปี พ.ศ.2529 โดยมีการอนุรักษ์และบูรณะเป็นอย่างดี
ในปี พ.ศ. 2479 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทหินพิมายเป็นโบราณสถาน
และได้จัดตั้งเป็น อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2532
โดยได้ดำเนินการปรับปรุงจัดตั้งถึง 13 ปี ร่วมมือกันระหว่างกรมศิลปากร และประเทศฝรั่งเศส
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519-2532 ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ได้เสด็จฯ พระราชดำเนิน เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอุทยาน
ที่ตั้งและการเดินทาง อำเภอพิมายห่างจากโคราชประมาณ 60 กม.
-เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว
จากตัวเมืองโคราชใช้ถนนมิตรภาพ
หรือทางหลวงหมายเลข 2โคราช-ขอนแก่น
ประมาณ
50 กม.พบทางแยกตลาดแคให้เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 206 อีก 10
กม.จะถึงปราสาทหินพิมายซึ่งตั้งอยู่กลางเมืองพิมาย
-เดินทางโดยรถประจำทาง
ขึ้นรถโดยสารโคราช-พิมาย
ที่สถานีขนส่งแห่งที่ 2 ในตัวเมืองโคราชมีทั้งรถปรับอากากาศและรถธรรมดา
รถจอดหน้าปราสาทหินพิมาย
สิ่งน่าสนใจ
ปราสาทหินพิมาย
หันหน้าไปทางทิศใต้ไปทางที่ตั้งของเมืองพระนคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรขอม
ปราสาทหินพิมายมีแบบแปลนเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 565 ม.ยาว1,030
ม.ล้อมรอบด้วยคูน้ำมีประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ภายในบริเวณปราสาทหิน
มีโบราณสถานที่น่าสนใจหลายแห่งโดยเริ่มตั้งแต่ทางเข้าตามลำดับดังนี้
สะพานนาค
เป็นทางที่ทอดนำไปสู่ตัวปรางค์มีนาคทอดตัวยาวเป็นราวบันได
ชูเศียรทั้งเจ็ดแผ่พังพานเปล่งรัศมีอย่างสวยงาม นาคเป็นสัตว์มงคลที่พบตามโบราณสถาน
ที่ได้รับอิทธิพลจากคติของศาสนาฮินดู
หรือพราหมณ์ซึ่งเชื่อว่านาคทอดร่างเป็นทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์
ที่เชิงบันไดนาคทั้งสองข้างมีสิงห์จำหลักจากหินประดับอยู่ข้างละตัว
สิงห์มีท่าทางองอาจเสมือนเป็นผู้พิทักษ์โบราณสถานลักษณะทางศิลปกรรมของสิงห์และนาคนี้
คล้ายศิลปะที่นครวัดที่สร้างในช่วงรัชกาลพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2
(พ.ศ.1656-1688)
ซุ้มประตู หรือโคปุระชั้นนอก มีทั้งหมดสี่ด้านอยู่กึ่งกลางแนวกำแพงลักษณะสร้างเหมือนกันทุกด้าน
คือมีฐานกว้างสามคูหามีเสาศิลา ช่องลมประดับข้างละสองช่อง
เคยพบทับหลังชิ้นหนึ่งที่โคปุระทิศตะวันตก
สลักเป็นรูปขบวนแห่พระพุทธรูปนาคปรกประดิษฐานบนคานหาม
ทับหลังชิ้นนี้ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย
พระระเบียง
เมื่อมาถึงระเบียงก็ถือว่าเข้าสู่เขตชั้นในของปราสาทหินแล้ว
พระระเบียงแต่ละด้านมีซุ้มประตูหรือโคปุระชั้นในอยู่กึ่งกลางที่น่าสนใจ
คือกรอบประตูด้านทิศใต้ที่มีจารึกบนแผ่นหินเป็นอักษรเขมรโบราณกล่าวถึงการสร้างเมืองพิมายและการสร้างรูปเคาพร
จากพระระเบียงจะเข้าสู่ชั้นใน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของปราสาทพิมาย
มีปรางค์สามองค์ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน คือปรางค์ประธานปรางค์พรหมทัต
และปรางค์หินแดง
ปรางค์ประธาน
มีขนาดใหญ่ที่สุด
สร้างขึ้นช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-17 หันหน้าไปทางทิศใต้ต่างจากปราสาทขอมแห่งอื่นๆ
สันนิษฐานว่าหันไปทางเมืองพระนคร สลักลวดลายต่างๆ เช่น ลายกลีบบัว ลายประจำยาม
ก่อด้วยหินทรายสีขาวทำเป็นชั้นซ้อนขึ้นไปห้าชั้น
ส่วนยอดสลักเป็นรูปครุฑแบกทั้งสี่ทิศ
เหนือขึ้นไปสลักเป็นรูปเทพประจำทิศต่างๆและรูปดอกบัว
ทับหล้งและหน้าบันที่ประดับองค์ปรางค์ประธานส่วนใหญ่เล่าเรื่องรามายณะ
และคติความเชื่อในศาสนาฮินดูหรือพราหมณ์ เช่นหน้าบันทิศใต้
หรือด้านหน้าก่อนเดินเข้าในองค์ปรางค์เป็นภาพศิวนาฏราชหรือพระศิวะฟ้อนรำ 108
ท่าในศาสนาฮินดูเชื่อว่า เมื่อใดที่พระศิวะฟ้อนรำผิดจังหวะ
เมื่อนั้นโลกจะเกิดกลียุค นอกจากนี้ยังมีทับหลังที่จำหลักภาพอันเป็นหลักฐานสำคัญว่าปราสาทหินพิมาย
เป็นศาสนสถานในพุทธศาสนา คือภาพพุทธประวัติตอน " มารวิชัย"
และพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน
ปรางค์พรหมทัต
ก่อด้วยศิลาแลง
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ.1724-1761)
เมื่อคราวที่พระองค์ทรงบูรณะปราสาทหินพิมาย
ภายในปรางค์พบประติมากรรมศิลารูปบุคคลขนาดใหญ่นั่งขัดสมาธิ
ชาวบ้านเรียกกันว่าท้าวพรหมทัต
แต่นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นพระบรมรูปของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
และพบผู้หญิงนั่งคุกเข่าที่ชาวบ้านเรียกว่า นางอรพิมพ์ ในตำนานอรพิมพ์ ปาจิตต
ซึ่งเป็นเรื่องเล่าในท้องถิ่น จนกลายเป็นชื่อบ้านนามเมืองในย่านพิมาย
เช่นคำว่า"พี่ชายมา"ในเรื่องที่จะเล่าต่อไปก็เชื่อกันว่าเป็นที่มาของชื่อ
"พิมาย" นางอรพิมพ์ เป็นลูกสาวชาวบ้านหน้าตาสะสวย เมื่ออายุได้ 16
ปีได้อยู่กินกับปาจิตต แห่งเมืองพรหมพันธุ์นคร ระหว่างที่สามีไม่อยู่
พรหมทัตกุมารกษัตริย์เมืองแห่งหนึ่ง ได้เสด็จประพาสป่ามา พบนางอรพิมพ์โดยบังเอิญ
จึงได้เอานางไปอยู่ด้วย แต่เมื่อพรหมทัตกุมารเข้าใกล้นางจะร้อนเป็นไฟ
เมื่อปาจิตตกุมารกลับมาได้ออกตามหาและได้ใช้อุบายว่า เป็นพี่ชายมาพบน้องสาว
นางอรพิมพ์จึงบอกกับพรหมทัตกุมารว่า" พี่ชายมา"และสามารถปลิดชีวิตพรหมทัตกุมารได้สำเร็จแล้วพากันหนีออกมาได้
จึงเป็นเรื่องเล่าขานกันสืบมา
ปรางค์หินแดง
ตั้งอยู่ด้านขวาของปรางค์ประธาน
ก่อด้วยหินทรายสีแดง มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 17 ในสมัยพระเจ้าวรมันที่ 2
ซึ่งนับถือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกายและ ได้พบศิวลึงค์ในหอพราหมณ์ซึ่งตั้งอยู่ติดกับปรางค์หินแดงถึงเจ็ดองค์
จึงสันนิษฐานว่าจะเป็นสถานที่ที่ประกอบพิธีทางศาสนาพราหมณ์ บรรณาลัย
เป็นอาคารก่อด้วยหินทราย สีแดงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายกพื้นสูง
ตั้งอยู่ใกล้ซุ้มประตูทิศตะวันตก
นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าเป็นที่เก็บรักษาตำราทางศาสนา
หรืออาจจะเป็นที่ประทับของกษัตริย์ที่เสด็จมาทรงประกอบพิธีกรรม
สระน้ำหรือบาราย
โบราณสถานเขมรมักมีสระน้ำหรือภาษาเขมรเรียกว่า
บาราย เป็นสระที่ขุดขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำไว้อุปโภคบริโภค
บางคนก็เชื่อว่าเป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรมบริเวณเมืองพิมายมีบารายอยู่หลายแห่ง
ที่อยู่ในกำแพงเมืองคือ สระแก้ว สระพรุ่ง และสระขวัญ นอกกำแพงเมืองคือ สระเพลง
อยู่ทางทิศตะวันออก สระโบสถ์ อยู่ทางทิศตะวันตก
ประตูชัย
เป็นหนึ่งในประตูเมืองซึ่งมีอยู่ทางสี่ทิศ
ประตูชัยอยู่ทางด้านทิศใต้ของปราสาทหินพิมายรับกับถนนโบราณที่ทอดมาจากเมืองพระนครในเขมร
มีแผนผังการก่อสร้างเหมือนกันทุกประตู คือเจาะเป็นช่องสูงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ก่อด้วยศิลาแลงด้านข้างทั้งสองด้านของประตูมีห้องอยู่สามห้อง
เทคนิคการสร้างอยู่ในยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
และสันนิษฐานว่าคงได้รับการก่อสร้างเพิ่มเติมขึ้นภายหลังสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
กุฏิฤาษี
บริเวณที่ตั้งกุฏิฤาษีเป็นจุดสิ้นสุดของถนนโบราณที่มีต้นทางจากเมืองพระนครในเขมร แต่ไม่เหลือร่องรอยถนนไว้ให้เห็นเพราะเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน กุฏิฤาษีเชื่อว่าเป็นอโรคยาศาลสร้างขึ้นช่วงรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองแห่งอาณาจักรขอม พระองค์โปรดเกล้าให้สร้างอโรคยาศาลตามเส้นทางโบราณไว้จำนวนมาก ปัจจุบันเหลือเพียงซากกำแพงศิลาแลงกับปราสาทเท่านั้นท่านางสระผม
เป็นโบราณสถานนอกกำแพงเมือง
ตั้งอยู่ริมลำน้ำเค็มทางทิศใต้ของเมือง เดิมทีเป็นเพียงเนินดินใหญ่ที่มีเศษภาชนะดินเผาและเศษกระเบื้อง
กระทั่งได้รับการขุดแต่งใน
พ.ศ.2531จึงพอเห็นรูปรอยว่าเป็นอาคารทรงกากบาทก่อด้วยศิลาแลงมีฐานเป็นชั้นๆ
และพบร่องรอยหลุมขนาดเล็กอยู่ที่มุมอาคารทุกจุดนักโบราณคดีสันนิษฐานว่าคงเป็น
ศาลาจัตุรมุขซึ่งเป็นท่ารับเสด็จเจ้านายทางฝั่งพิมาย เพราะเป็นท่าน้ำแห่งเดียวที่อยู่ในแนวถนนโบราณ
ห่างจากท่านางสระผมไปเล็กน้อยมีสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 200 ม. ยาว 400
ม.เรียกว่าสระช่องแมว แต่ไม่ปรากฏเรื่องราวว่ามีความสำคัญใด
Credit : http://bit.ly/MpEiTD
Credit : http://bit.ly/MpEiTD
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)